การสำรวจภายในดาวอังคารก้าวหน้าครั้งใหญ่ เมื่อนักดาราศาสตร์ใช้ข้อมูลจากยาน InSight Lander ของ NASA วิเคราะห์คลื่นไหวสะเทือน (marsquakes) และค้นพบว่า ดาวอังคารไม่ได้มีเพียงแกนกลางที่เป็นของเหลวเท่านั้น แต่ยังมี แกนกลางชั้นใน (inner core) ที่เป็นของแข็ง อยู่ด้วย ซึ่งถือเป็นการยืนยันครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศจีน (USTC) นำโดย Daoyuan Sun ได้รวบรวมข้อมูลจากเหตุการณ์ไหวสะเทือนบนดาวอังคารกว่า 23 ครั้ง โดยใช้การตรวจวัดการเดินทางของคลื่นไหวสะเทือนที่พุ่งเข้าสู่ใจกลางดาวอังคารและสะท้อนกลับออกมา
ผลลัพธ์บ่งชี้อย่างชัดเจนว่า มีคลื่นบางส่วนสะท้อนจากขอบเขตของแกนกลางด้านใน (PKiKP) และมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วของคลื่น (เพิ่มขึ้นราว 30%) เมื่อผ่านเข้าสู่โครงสร้างแข็งบริเวณใจกลาง
จากการวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองเชิงสถิติ (Bayesian inversion) พบว่า แกนกลางแข็งของดาวอังคารมี รัศมีประมาณ 613 ± 67 กิโลเมตร และมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นราว 7% เมื่อเทียบกับแกนกลางชั้นนอกที่เป็นของเหลว
รอบ ๆ แกนกลางแข็งนี้คือ แกนกลางด้านนอก (outer core) ที่เป็นของเหลว ขยายออกไปจนถึงรัศมีประมาณ 1,800 กิโลเมตร จากศูนย์กลางดาว
แกนกลางแข็ง (inner core): มีธาตุเหล็ก–นิกเกิลเป็นหลัก และมีออกซิเจนในปริมาณสูง
แกนกลางเหลว (outer core): มีซัลเฟอร์และคาร์บอนผสมอยู่มาก
บนโลก การก่อตัวและเติบโตของแกนกลางแข็งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน dynamo ซึ่งสร้างสนามแม่เหล็กโลกขึ้นมา แต่สำหรับดาวอังคาร แม้จะเคยมีสนามแม่เหล็กในอดีต ปัจจุบันกระบวนการ crystallization ในแกนกลางดำเนินไปช้าเกินกว่าจะฟื้นฟูสนามแม่เหล็กได้อีก นี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ดาวอังคารสูญเสียชั้นบรรยากาศส่วนใหญ่และน้ำผิวดินไปในที่สุด
การยืนยันการมีอยู่ของ แกนกลางแข็งในดาวอังคาร เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจวิวัฒนาการภายในดาวเคราะห์ดวงนี้ชัดเจนขึ้น และอาจเป็นกุญแจในการไขปริศนาว่าทำไมดาวอังคารจึงต่างจากโลก แม้จะมีจุดเริ่มต้นคล้ายคลึงกัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดาวเคราะห์นอกระบบ (exoplanet) ได้กลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการสำรวจดาราศาสตร์ และหนึ่งในกรณีที่สร้างความตื่นเต้นมากที่สุดคือการศึกษาดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ชื่อ WASP-49 b ซึ่งอยู่ห่างจากโลกประมาณ 635 ปีแสง ดาวเคราะห์ดวงนี้จัดอยู่ในประเภท Hot Jupiter ที่โคจรใกล้ดาวฤกษ์แม่มากจนบรรยากาศร้อนระอุเกินพันองศาเซลเซียส
สิ่งที่ทำให้ WASP-49 b น่าสนใจไม่ใช่เพียงการที่มันเป็นดาวเคราะห์ร้อนเท่านั้น แต่คือการตรวจพบ กลุ่มก๊าซโซเดียมขนาดมหึมา ที่ลอยอยู่รอบระบบ ซึ่งใหญ่และหนาแน่นเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยบรรยากาศของดาวเคราะห์เพียงอย่างเดียว
โซเดียม (Na) เป็นธาตุที่ตรวจจับได้ง่ายในเชิงสเปกโทรสโกปี เพราะมีเส้นดูดกลืนแสงที่โดดเด่นที่ความยาวคลื่น ~589 นาโนเมตร เมื่อนักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์ตรวจสอบ WASP-49 b พวกเขาพบว่า มีการปลดปล่อยโซเดียมในปริมาณ มหาศาล — ราว 100,000 กิโลกรัมต่อวินาที ซึ่งมากเกินกว่าที่บรรยากาศดาวเคราะห์จะปล่อยออกมาเอง
นอกจากนี้ การเคลื่อนที่ของกลุ่มก๊าซยังดู “ผิดปกติ” ไม่สอดคล้องกับการโคจรของตัวดาวเคราะห์ ก๊าซบางส่วนมีความเร็วและทิศทางที่แสดงถึงการมาจากวัตถุอื่นที่ไม่ใช่ดาวเคราะห์โดยตรง โดยพบว่า ความเร็ว Doppler redshift ของก๊าซโซเดียมอยู่ที่ประมาณ +9.7 ± 1.6 km/s ซึ่งเข้ากับความเร็วที่วัตถุขนาดดวงจันทร์จะมีได้หากโคจรรอบ WASP-49 b
แม้หลักฐานจะน่าตื่นเต้น แต่ยัง ไม่สามารถยืนยันการมีอยู่ของดวงจันทร์ได้โดยตรง เราไม่มีการสังเกตการเคลื่อนผ่านหน้าดาว (transit) ของดวงจันทร์ หรือภาพถ่ายที่แยกออกจากดาวเคราะห์โดยตรง ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคงใช้ข้อมูลสเปกตรัมและแบบจำลองเพื่อเปรียบเทียบเท่านั้น
หากดวงจันทร์ภูเขาไฟของ WASP-49 b ได้รับการยืนยันจริง ๆ นี่จะเป็น ดวงจันทร์นอกระบบสุริยะ (exomoon) ดวงแรกที่มีภูเขาไฟปะทุ การค้นพบเช่นนี้จะไม่เพียงเพิ่มจำนวนดวงจันทร์ที่เรารู้จัก แต่ยังเปิดประตูใหม่ให้กับการศึกษาวิวัฒนาการของระบบดาวเคราะห์ รวมถึงบทบาทของดวงจันทร์ต่อบรรยากาศและสภาพแวดล้อมรอบดาวเคราะห์